การรักษาโรคกระเพาะ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

แผลที่กระเพาะก่อนการรักษา

แผลหลังรักษา 2 สัปดาห์

แผลหายไปหลังจาการรักษา

วิธีการรักษาโรคกระเพาะอาหารทำอย่างไร

1. กำจัดต้นเหตุของการเกิดโรค ได้แก่

ก.กินอาหารให้เป็นเวลา
ข. งดอาหารรสเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด
ค. งดดื่มเหล้า เบียร์ หรือยาดอง
ง. งดดื่มน้ำชา กาแฟ
จ. งดสูบบุหรี่
ฉ. งดเว้นการกินยา ที่มีผลต่อกระเพาะอาหาร
ช. พักผ่อนให้เพียงพอ ผ่อนคลายคลายตึงเครียด

2. การให้ยารักษา โดยกินยาอย่างถูกต้อง คือต้องกินยาให้สม่ำเสมอ กินยาให้ครบตามจำนวน และระยะเวลาที่แพทย์สั่งยารักษาโรคกระเพาะอาหาร ส่วนใหญ่ต้องใช้เวลาประมาณอย่างน้อย 4-6 อาทิตย์ แผลจึงจะหาย ดังนั้นภายหลังกินยา ถ้าอาการดีขึ้นห้ามหยุดยา ต้องกินยาต่อจนครบ และแพทย์แน่ใจว่าแผลหายแล้ว จึงจะลดยาหรือหยุดยาวได้

3.การผ่าตัด ซึ่งในปัจจุบัน มียาที่รักษาโรคกระเพาะอาหารอย่างดีจำนวนมากถ้าให้การรักษาที่ถูกต้อง ก็ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดสำหรับการผ่าตัดอาจทำให้เป็นกรณีที่เกิดโรคแทรกซ้อน ได้แก่

ก. เลือดออกในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก โดยไม่สามารถทำให้หยุดเลือดออกได้
ข. แผลกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กเกิดการทะลุ
ค. กระเพาะอาหารมีการอุดตัน

ปัจจุบันยาที่ใช้รักษาโรคกระเพาะอาหารแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คือ

ยาลดกรด [ antacid] รับประทานครั้งละ 1-2 ชต.ควรรับประทานหลังอาหาร 1 ชม. หรือก่อนอาหาร 2 ชม. และมื้อสุดท้ายก่อนนอน แล้วดื่มน้ำตาม 1-2 แก้วในระยะแรก อาจจะให้ยาทุกหนึ่งชั่วโมง เมื่อดีขึ้นอาจให้ยาทุก 1-2 ชั่วโมง
ยาลดการหลั่งกรด acid-suppressing drugs มีสองชนิด คือ
Histamine-2 receptor antagonists [H2-blockers] เช่น cimetidine, ranitidine, famotidine, nizatidine.ช่วยลดอาการปวดหลังได้ยาไปประมาณ หนึ่งสัปดาห์ อาจจะรับประทานวันละครั้ง เช่นก่อนนอนได้แก่ famotidine, nizatidine วันละสองครั้งได้แก่ ranitidine วันละสี่ครั้งไก้แก่ cimetidine
ชื่อยา

ขนาดยาที่ให้

ผลขางเคียง

cimetidine

400 mg วันละ 2 ครั้ง

800mg ก่อนนอนวันละครั้ง

คลื่นไส้อาเจียน เต้านมโต ตับอักเสบ เม็ดเลือดขาวต่ำ

ทำให้ยาบางชนิดถูกทำลายลดลงเกิดการคั่งของยา

Ranitidine

150 mg วันละ 2 ครั้ง

300 mg ก่อนนอนวันละครั้ง

ผลข้างเคียงน้อย

Famotidine

20 mg วันละ 2 ครั้ง

40 mg ก่อนนอนวันละครั้ง

ผลข้างเคียงน้อย

Nizatidine

150 mg วันละ 2 ครั้ง

300 mg ก่อนนอนวันละครั้ง

ผลข้างเคียงน้อย

Proton pump inhibitors เช่น omeprazole, lansoprazole.ยากลุ่มนี้ช่วยลดอาการปวดท้อง และช่วยให้แผลหายเร็วกว่ายากลุ่มอื่นมักจะรับประทานวันละครั้งหลังอาหาร
ยาปฏิชีวนะเช่น metronidazole, tetracycline, clarithromycin, amoxicillin ใช้รักษาโรคกระเพาะที่เกิดจาก H.pylori ขนาดยาที่ให้ clarithromycin 500 mg วันละ 2 ครั้ง, amoxycillin 1,000 mg วันละ 2 ครั้ง, metronidazole 400 mg วันละ 2 ครั้ง, tetracyclin 500 mg วันละ 2 ครั้ง ยาที่นิยมรักษาแผลกระเพาะอาหารจากเชื้อโรคได้แก่การใช้ยา amoxicillin และ clarithromycin และ omeprazole
ยาเคลือบกระเพาะ Stomach-lining protector เช่น bismuth subsalicylate.sucralfate ใช้เคลือบแผลกระเพาะ

แผลที่กระเพาะก่อนการรักษา

แผลหลังรักษา 2 สัปดาห์

แผลหายไปหลังจาการรักษา

ปัจจุบันการรักษา H.pylori ที่ดีที่สุดประกอบด้วยยา 3 ชนิดได้แก่ ยาปฏิชีวนะ 2 ชนิดร่วมกับ ยาลดการหลั่งกรด หรือยาเคลือบกระเพาะ อย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งสามารถรักษาผู้ป่วยได้มากกว่าร้อยละ90 เช่น omeprazole 20 mg วันละ 2 ครั้งร่วมกับ clarithromycin 500 mg วันละ 2 ครั้ง และ amoxycillin 1,000 mg วันละ 2 ครั้ง

แนวทางการรับประทานอาหารในการรักษาแผล Peptic ulcer

หลังการรักษาแพทย์อาจนัดส่องกล้องดูกระเพาะอีกครั้งว่าแผลหายหรือยัง

เคล็ดลับโรคกระเพาะ

โรคกระเพาะเกิดจากมีแผลที่เยื่อบุกระเพาะและลำไส้เล็กส่วนต้น
สาเหตุที่สำคัญเกิดจากเชื้อ H. pylori มิใช่เกิดจากอาหารเผ็ดหรือความเครียด
H. pylori สามารถติดต่อโดยผ่านทางอาหารและน้ำดื่ม
ล้างมือก่อนรับประทานอาหารและหลังเข้าห้องน้ำ
ยาปฏิชีวนะเป็นยาที่สำคัญที่สุดในการรักษา H. pylori

การปฏิบัติตัวเมื่อเป็นโรคกระเพาะ

1. กินอาหารให้เป็นเวลา ไม่ปล่อยให้ท้องว่าง หรือหิว ถ้าหิวก่อนเวลาให้ดื่มนม หรือน้ำเต้าหู้ น้ำข้าว น้ำผลไม่ได้
2. หลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด จากน้ำสมสายชู
3. งดดื่มเหล้า เบียร์ กาแฟ ยาดอง
4. งดการสูบบุหรี่
5. หลีกเลี่ยงการกินยาแก้ปวด แก้ไข ที่มีแอสไพริน หรือยาชุดต่างๆ รวมทั้งยาแก้ปวดกระดูก และยาsteroid ยาลูกกลอน ยาหม้อต่างๆ
6. ควรพักผ่อนให้มากเพียงพอ ทำจิตใจให้เบิกบานผ่อนคลายเครียดวิตกกังวล และไม่หงุดหงิดอารมณ์เสียง่าย
7. กินยาตามแพทย์สั่ง ถ้ากินยาแล้วอาการดีขึ้น ต้องกินยาติดต่อกันอย่างน้อย 4-6 อาทิตย์ ไม่ควรหยุดยาก่อน เพราะอาการปวดท้องจะกำเริบได้อีก
8. ควรออกกำลังกาย แต่ไม่ควรมากเกินไป
9. อย่าซื้อยากินเอง มีโรคอื่นควรปรึกษาแพทย์

โรคแทรกซ้อนที่สำคัญ

เลือดออกทางเดินอาหาร เนื่องจากแผลกระเพาะอาหารกินลึกถึงหลอดเลือดทำให้มีเลือดออก ผู้ป่วยจะมีอาการอาเจียนเป็นเลือดสด หรือสีดำเหมือนน้ำโค้ก อุจาระจะมีสีดำเหนียว บางคนหากออกมากจะมีสีแดงอิฐ หากเลือดออกมากผู้ป่วยอาจจะมีความดันโลหิตต่ำและช้อคหมดสติ
กระเพาะทะลุ เนื่องจากแผลจะกินลึกจนทะลุเข้าช่องท้อง ผู้ป่วยจะปวดท้องอย่างเฉียบพลันปวดมาก หน้าท้องแข็ง เป็นภาวะรีบด่วนต้องรีบพบแพทย์
ลำไส้อุดตัน เนื่องจากเป็นแผลเรื้อรังจะทำให้เกิดผังพืดทำให้รูของลำไส้เล็กลงอาหารไม่สามารถผ่านไปได้ ผู้ป่วยจะเกิดอาเจียน ไม่ผายลม ไม่ถ่ายอุจาระ อาเจียนเป็นอาหารที่รับประทานเข้าไป
ทำไมรักษากระเพาะแล้วไม่หาย

โรคกระเพาะอาหารที่รักษาแล้วไม่หาย หรือเป็นซ้ำบ่อยมีสาเหตุดังนี้

ไม่ได้รับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง
เชื้อโรคอาจจะดื้อยา
ยังคงสูบบุหรี่
ยังคงรับประทานยาแก้ปวด
เป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร
เป็นโรคอื่น
อาการเตือนที่ทำให้ต้องระวังว่าเป็นมะเร็ง ได้แก่

ปวดท้องจนต้องตื่นนอนตอนกลางคืน
น้ำหนักลดลงมากกว่า ร้อยละ 5 ใน 1 เดือน
อายุมากกว่า 40 ปี
ถ่ายเป็นเลือด
อาเจียน หลังรับประทานอาหาร
กลืนลำบาก
มีคนในครอบครัวเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร
ซีด
ตัวเหลืองตาเหลือง
ตับม้ามโต
มีก้อนในท้อง
ท้องโตขึ้น
มีการเปลี่ยนของระบบขับถ่าย
หากพบอาการเหล่านี้ควรส่องกล้อง หรือกลืนแป้งตรวจก่อน แต่หากไม่มีอาการอาจลองให้รักษาก่อน

อาการของโรคกระเพาะ วิธีการรักษา อาหารสำหรับโรคกระเพาะ โรคกระเพาะอาหาร

url=http://siamhealth.net/public_html/Disease/GI/pu/pu_treat.html#.URGvYB1dMtA

ข้อควรทราบเกี่ยวกับการจัดฟัน

1 ประเภทลวดทั่วไป ประเภทนี้พบว่าทำกันอยู่ตามข้างถนน สะพานลอย จะใช้วัสดุเป็นลวดทั่วไป เหมือนกับลวดที่ใช้ร้อยดอกไม้ หรือลวดที่ใช้ในการประดิษฐ์ต่างๆ อาจมีการร้อยลูกปัดหรือใส่ยางหลากสีเข้าไปเพื่อให้ดูสวยงาม แต่ด้วยความที่เป็นลวดทั่วไปจึงอาจมีทั้งสารตะกั่ว และสารแปลกปลอมต่างๆ ที่เป็นอันตรายต่อร่างกายปนเปื้อนอยู่ อีกทั้งวิธีการทำก็อันตราย เพราะจะต้องนำลวดไปเสียบอยู่ระหว่างซี่ฟัน จึงมีโอกาสพลาดไปแทงโดนเหงือกได้ ซึ่งจะนำมาซึ่ง

ถาม     ปัจจุบันการจัดฟันดูเหมือนจะกลายเป็นแฟชั่นสังเกตจากเด็กวัยรุ่นส่วนใหญ่นิยมจัดฟันกันมากขึ้นจริงๆ แล้ววัตถุประสงค์ของการจัดฟันคืออะไร
ตอบ     โดยทั่วไปการจัดฟันมีวัตถุประสงค์เพื่อให้มีการเรียงตัวของฟันที่ดีมีความสัมพันธ์ของฟันบนและฟันล่างหรือมีการสบฟันที่ถูกต้องทำให้สามารถใช้ฟันบดเคี้ยวได้อย่างมีประสิทธิภาพแรงที่เกิดจากการบดเคี้ยวถูกกระจายลงบนฟันแต่ละซี่รวมทั้งกระดูกที่รองรับรากฟัน และข้อต่อขากรรไกรอย่างเหมาะสมโดยไม่ทำให้เกิดอันตรายต่ออวัยวะดังกล่าวนอกจากนี้การสบฟันที่ดีมีการเรียงตัวของฟันที่เป็นระเบียบยังทำให้การรักษาความสะอาดของฟันง่ายขึ้นอีกทั้งยังเป็นการเพิ่มความสวยงามของใบหน้าและรอยยิ้มของผู้ป่วยทำให้ผู้ป่วยมีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้นด้วยในปัจจุบันการจัดฟันถูกมองว่าเป็นแฟชั่นของวัยรุ่นคงเป็นเพราะพ่อแม่ผู้ปกครองตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลทันตสุขภาพบุตรหลานมากขึ้นวัยรุ่นเองก็เป็นวัยที่เด็กเริ่มให้ความสนใจกับร่างกายและความสวยงามของตัวเองประกอบกับเครื่องมือจัดฟันก็ถูกพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ จนมีขนาดและรูปร่างที่เล็กลงกว่าในอดีตมีการพยายามใช้สีสันต่างๆ ของเครื่องมือเพื่อจูงใจให้ผู้ป่วยยอมรับการจัดฟันมากขึ้นการใส่เครื่องมือจัดฟันจึงไม่ได้ถูกมองว่าเป็นสิ่งที่น่าเกลียดอีกต่อไป

ถาม     การเตรียมตัวผู้ป่วยก่อนที่จะทำการรักษาทางทันตกรรมจัดฟันมีอะไรบ้าง 
ตอบ     การเตรียมตัวของผู้ป่วยเพื่อให้พร้อมที่จะรับการรักษาทางทันตกรรมจัดฟันอาจแบ่งออกได้เป็น 3 ลักษณะใหญ่ ๆ คือ
1.การเตรียมพร้อมของสภาพในช่องปาก
2.ความพร้อมทางด้านสุขภาพโดยทั่วๆ ไป ของผู้ป่วย
3.การเตรียมพร้อมในด้านสภาวะทางสังคม
การเตรียมพร้อมของสภาพในช่องปากเนื่องจากสภาวะของฟันเหงือกและกระดูกที่หุ้มรากฟันจะมีความสำคัญต่อการจัดฟันทั้งในระหว่างการจัดฟันและภายหลังการจัดฟันการเคลื่อนที่ของฟันจะเป็นไปได้ด้วยดีต่อเมื่อสภาพของฟันเหงือกและกระดูกที่หุ้มรากฟันอยู่ในสภาพแข็งแรงพอที่จะรองรับแรงจากเครื่องมือหรือการหยุดแรงโดยไม่จำเป็นเพราะอาจมีผลให้ระยะเวลาของการรักษาเนิ่นนานขึ้นหรือซับซ้อนมากขึ้นดังนั้นผู้ป่วยจึงจำเป็นที่จะต้องอุดฟันที่ผุทุกซี่ในปากให้เสร็จสิ้นก่อนการใส่เครื่องมือจัดฟันเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่ต้องมีการถอดเครื่องมือจัดฟันออกเพื่ออุดฟันในระหว่างการบำบัดรักษาทางทันตกรรมจัดฟันยกเว้นในกรณีที่จำเป็นจริงๆสำหรับฟันที่ตรวจพบว่ามีการผุลุกลามจนถึงโพรงประสาทและจำเป็นต้องรักษารากฟันควรทำให้เสร็จสิ้นก่อนใส่เครื่องมือจัดฟันอย่างน้อย 6 เดือนหรือถ้ารีบด่วนก็ให้อยู่ในดุลยพินิจของทันตแพทย์จัดฟันร่วมกับทันตแพทย์ผู้ที่จะให้การรักษาคลองรากฟันสำหรับความแข็งแรงของเหงือกและกระดูกหุ้มรากฟันผู้ป่วยสามารถสังเกตถึงความผิดปกติของเหงือกและกระดูกหุ้มรากฟันได้โดยดูจากลักษณะที่บวมแดงของเหงือกหรือการมีเลือดออกตามไรฟันการพบมีหินปูนจับตามคอฟันหรือฟันโยกซึ่งจะต้องรักษาให้หายก่อนการใส่เครื่องมือจัดฟันและผู้ป่วยควรจะต้องศึกษาถึงวิธีการแปรงฟันรวมทั้งการรักษาความสะอาดของช่องปากให้ดีเพราะเมื่อใส่เครื่องมือจัดฟันไปแล้วอาจทำให้การแปรงฟันยากขึ้นรวมทั้งแรงจากเครื่องมือเองก็มีส่วนที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเหงือกและกระดูกในบริเวณที่มีการเคลื่อนที่ของฟันและอาจรู้สึกเจ็บทำให้ผู้ป่วยไม่กล้าแตะต้องหรือทำความสะอาดฟันบริเวณนั้นซึ่งเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง
ความพร้อมทางด้านสุขภาพโดยทั่วๆ ไปผู้ป่วยที่ต้องการจัดฟันควรมีสุขภาพดีไม่มีโรคติดต่อหรือโรคประจำตัวอันอาจมีผลต่อการจัดฟันเพราะการใช้ยาชนิดใดชนิดหนึ่งเป็นประจำอาจมีผลต่อเหงือกหรือน้ำลายที่อยู่ในช่องปากของผู้ป่วยนอกจากนี้การได้รับอุบัติเหตุโดยเฉพาะบริเวณของใบหน้าและศีรษะการแพ้ยาการแพ้อาหารควรแจ้งให้ทันตแพทย์จัดฟันทราบก่อนเพื่อเป็นข้อมูลในการวางแผนการรักษาและการเลือกใช้เครื่องมือ
การเตรียมพร้อมในด้านสภาวะทางสังคมได้แก่หน้าที่การงานและการสังคมของผู้ป่วยว่าพร้อมที่จะใส่เครื่องมือจัดฟันแบบปกติหรือต้องการเครื่องมือจัดฟันให้อยู่ทางด้านในปากโดยยึดติดกับฟันทางด้านใกล้สิ้นแต่ถ้าผู้ป่วยยอมให้เห็นเครื่องมือได้บ้างโดยไม่สะดุดตานักก็อาจเลือกใช้เครื่องมือที่ติดกับฟันเป็นพลาสติกหรือเซรามิกที่มีสีเหมือนฟันแทนโลหะหรืออาจเลือกใช้เครื่องมือชนิดถอดได้เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถใส่และถอดได้เองนอกจากนี้การเลือกเส้นทางคมนาคมระหว่างผู้ป่วยและสถานที่จัดฟันก็มีความสำคัญ เช่น ระยะเดินทางไกลมากรถติดมากทำให้เกิดความไม่สะดวกเพราะผู้ป่วยจัดฟันมักจะต้องมาพบ ทันตแพทย์ทุก 3 หรือ 4 สัปดาห์เป็นเวลาอย่างน้อยประมาณ 2 ปีถ้าผู้ป่วยเป็นนักเรียนนักศึกษาก็ต้องเลือกจัดตารางเรียนให้มีเวลาพอที่จะมาพบทันตแพทย์จนกว่าจะสิ้นสุดการจัดฟันในกรณีที่จะไปศึกษาต่อต่างประเทศควรแจ้งให้ทันตแพทย์ทราบก่อนทำการรักษาหรือเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อประโยชน์ในการวางแผนการรักษาหรือการส่งตัวผู้ป่วยไปรักษาต่อการออกงานทางสังคมที่สำคัญของผู้ป่วยเช่นการรับปริญญาถ้ามีแผนอยู่ในระยะใกล้เคียงกับการเริ่มจัดฟันอาจชะลอการจัดฟันไปก่อน

ถาม     การปฏิบัติตัวระหว่างการรักษาของผู้ป่วยจะต้องทำอย่างไรบ้าง 
ตอบ     เมื่อทันตแพทย์ได้เสนอแผนการรักษารวมทั้งวิธีการรักษาอย่างคร่าวๆ ให้ผู้ป่วยแล้วผู้ป่วยอาจสามารถเลือกชนิดของเครื่องมือจัดฟันได้เองหรืออาจเป็นวิธีเฉพาะที่ทันตแพทย์จำเป็นต้องใช้ตามปกติชนิดของเครื่องมือจัดฟันจะแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ เครื่องมือจัดฟันชนิดถอดได้(Removable appliance) กับเครื่องมือชนิดติดแน่น (Fixed appliance) ซึ่งผู้ป่วยจะมีวิธีดูแลรักษาแตกต่างกัน
เครื่องมือจัดฟันชนิดถอดได้ลักษณะของเครื่องมือจะเป็นแผ่นอะคลิลิค (acrylic) หรือพลาสติกที่มีส่วนของตะขอลวด สปริง สกรู หรือลวดอื่นๆฝังอยู่เพื่อวัตถุประสงค์ในการเคลื่อนฟันในวันแรกที่ใส่เครื่องมือผู้ป่วยจะได้รับการสอนวิธีใส่และถอดเครื่องมือรวมทั้งวิธีการดูแลรักษาตามปกติทันตแพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยใส่เครื่องมือตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืนถอดเฉพาะเวลาแปรงฟันและรับประทานอาหารที่ต้องมีการขบเคี้ยวการดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารที่ไม่ต้องเคี้ยวเช่นไอศกรีมสามารถทำได้โดยไม่ต้องถอดเครื่องมือแต่หลังจากรับประทานแล้วควรบ้วนปากและล้างเครื่องมือทุกครั้งเมื่อถอดเครื่องมือจากปากห้ามห่อกระดาษไว้ข้างจานอาหารหรือใส่กระเป๋าเสื้อกระเป๋ากางเกงเพราะเครื่องมือจะหายหรือหักได้ควรมีกล่องพลาสติกเล็กๆ ไว้สำหรับใส่เครื่องมือโดยเฉพาะการทำความสะอาดเครื่องมือควรทำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้งในช่วงที่มีการแปรงฟันเช้าและก่อนนอนโดยใช้แปรงกับยาสีฟันหรือสบู่เพื่อกำจัดกลิ่นและความมันของอาหารผู้ป่วยควรใส่เครื่องมืออยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องถ้าเกิดมีบาดแผลมีเลือดออกหรือเจ็บมากให้ถอดเครื่องมือออกและรีบติดต่อทันตแพทย์จัดฟันเพื่อขอคำปรึกษาหรือแก้ไข
เครื่องมือจัดฟันชนิดติดแน่นลักษณะของเครื่องมือประกอบไปด้วยปลอกโลหะรัดฟัน (band) ที่มีท่อสำหรับร้อยลวดติดอยู่มักใช้เฉพาะฟันกรามเนื่องจากต้องรับแรงบดเคี้ยวมากส่วนฟันซี่อื่นๆ จะมีเครื่องมือชิ้นเล็กๆ เรียกว่า แบร็กเค็ท (bracket) ซึ่งทำด้วยโลหะหรือเซรามิกที่มีร่องตรงกลางเอาไว้เป็นที่อยู่ของลวดและติดอยู่บนฟันด้วยกาวชนิดพิเศษการเคลื่อนที่ของฟันจะขึ้นอยู่กับลวดและยางดึงฟันบางครั้งส่วนของเครื่องมือที่นูนขึ้นมาจากผิวฟันหรือลวดอาจทำให้เกิดความระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อของริมฝีปากหรือกระพุ้งแก้มจนเกิดเป็นแผลซึ่งผู้ป่วยจะต้องรีบแจ้งให้ทันตแพทย์ทราบเพื่อขอรับการแก้ไขและใช้ขี้ผึ้งที่ทันตแพทย์จัดฟันแจกให้ปิดบริเวณเครื่องมือส่วนที่คมหรือทำให้เกิดความระคายเคืองไว้ก่อนจนกว่าจะถึงเวลานัดข้อควรระวังเป็นอย่างยิ่งสำหรับเครื่องมือชนิดติดแน่นคือการรับประทานอาหารเพราะจะทำให้เครื่องมือหลุดหรือเสียหายได้อันอาจทำให้เกิดแรงที่ผิดปกติลงบนตัวฟันอาหารที่มีความแข็งมากกรอบมากหรือ เหนียวมากอาจต้องงดรับประทานชั่วคราวหรือต้องหั่นให้เป็นชิ้นเล็กเพื่อลดแรงบดเคี้ยวเช่นการกัดหรือเคี้ยวก้อนน้ำแข็งผลไม้ดิบถั่วตัดถั่วทุกชนิดเนื้อทอดปลาหมึกแห้งท๊อฟฟี่หมากฝรั่งและตังเมเป็นต้นสำหรับการรักษาความสะอาดผู้ป่วยจะต้องแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้งด้วยความพิถีพิถันมากขึ้นเนื่องจากส่วนของเครื่องมือและลวดจะเป็นที่เก็บกักของเศษอาหา รได้มากกว่า ผิวฟันปกติ

ถาม     ความเจ็บปวดในระหว่างการจัดฟันมีมากน้อยแค่ไหน 
ตอบ     การใส่เครื่องมือจัดฟันอาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกรำคาญบ้างในระยะแรกๆ แต่ต่อมาก็จะเริ่มมีการปรับตัวและชินกับเครื่องมือ เวลาที่ผู้ป่วยมาพบทันตแพทย์เพื่อปรับเครื่องมือเป็นระยะ ๆ  ทันตแพทย์อาจทำให้เกิดแรงในเครื่องมือเพื่อเคลื่อนฟัน และเป็นสาเหตุของความรู้สึกเจ็บ ตึง หรือไม่สบายที่บริเวณฟันบ้าง โดยทั่วไปความเจ็บปวดนี้มักอยู่ในระดับที่ผู้ป่วยบางครั้งถ้าผู้ป่วยรู้สึกดีขึ้นหลังจากนั้นประมาณ 3 – 4 วันบางครั้งถ้าผู้ป่วยรู้สึกปวดมากก็อาจใช้ยาแก้ปวดสามัญประจำบ้านรับประทานเพื่อบรรเทาอาการได้

ถาม     มีข้อห้ามไหมว่าโรคอะไรที่ไม่สามารถทำได้เลย
ตอบ     โรคที่ไม่สามารถทำจัดฟันได้ อาจแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1.  โรคที่เกี่ยวกับสุขภาพโดยทั่ว ๆ ไป
2.  โรคที่เกิดกับช่องปาก
โรคที่เกี่ยวกับสุขภาพโดยทั่ว ๆ ไป จะรวมถึงสภาพจิตใจของผู้ป่วยด้วย ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่สามารถปฏิบัติตามคำแนะนำของทันตแพทย์ได้ความสำเร็จในการจัดฟันจะมีน้อย หรือทำไม่ได้เลย โรคทางร่างการที่สำคัญ ได้แก่ ผู้ป่วยที่มีความผิดปกติในการแข็งตัวของเลือด โรคที่เกี่ยวกับการอักเสบของลิ้นหัวใจ โรคประจำตัวบางชนิดของผู้ป่วยที่อาจกำเริบได้บ่อย ๆ ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกไม่สบายหรือเจ็บปวด เช่น โรคลมชัก หรือ หอบ-หืด ถ้ายังควบคุมอาการของโรคไม่ได้ก็ยังไม่ควรทำจัดฟัน รวมทั้งโรคติดต่อบางชนิดที่ยังอยู่ในระยะติดต่อได้ เช่น ตับอักเสบและวัณโรค
โรคที่เกิดกับช่องปาก สำหรับโรคของฟันจะได้แก่ผู้ป่วยที่มีฟันผุมาก และสามารถเกิดฟันผุใหม่ได้ง่าย ซึ่งอาจเป็นผลจากส่วนประกอบของเนื้อฟัน หรือน้ำลาย หรือความละเลยของผู้ป่วยเอง การจัดฟันจะทำให้อัตราการผุของฟันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และอาจสูญเสียฟันไปก่อนกำหนด ส่วนโรคของเหงือกและกระดูกหุ้มฟันที่สำคัญได้แก่ โรคปริทันต์ หรือที่เรียกว่า โรครำมะนาด ที่มีการทำลายของกระดูกหุ้มรากฟันจะทำให้กระดูกที่หุ้มรากฟันละลายตัวมากขึ้น จึงต้องระมัดระวังในการใช้แรงเพราะอาจทำให้ฟันหลุดจากเบ้าฟันได้ นอกจากนี้ยังมีโรคของรากฟันที่เกิดการละลายตัวทำให้รากฟันหดสั้นลงโดยไม่ทราบสาเหตุ การจัดฟันอาจทำให้รากฟันมีการละลายตัวมากขึ้น จึงมักไม่แนะนำให้ผู้ป่วยทำจัดฟันในกรณีนี้

ถาม       อายุที่เหมาะสมกับการรักษาทางทันตการจัดฟัน คืออายุเท่าใด 
ตอบ      คงเป็นการยากที่จะให้ระบุชัดเจนว่าควรเริ่มจัดฟันเมื่ออายุเท่าใดเพราะผู้ป่วยแต่ละคนมีความผิดปกติของฟัน และโครงสร้างในหน้าที่ที่แตกต่างกันโดยมากการแก้ไขตำแหน่งฟันที่ผิดปกติมักจะกระทำเมื่อฟันแท้ขึ้นแทนที่ฟันน้ำนมครบแล้ว เราจึงเห็นผู้ป่วยจัดฟันส่วนใหญ่อยู่ในช่วงระยะวัยรุ่น ในกรณีที่ความผิดปกตินั้นรุนแรง หรือมีผลกระทบต่อฟันข้างเคียงหรือต่อพัฒนาการของกระดูกขากรรไกรและใบหน้า เช่น มีฟันบางซี่คุดไม่ขึ้นมาในช่องปาก ฟันหน้าล่างสบคร่อมฟันหน้าบน หรือมีฟันหน้ายื่นมากจนอาจจะเสี่ยงต่อการได้รับความเสียหายจากมีอุบัติเหตุ เป็นต้น กรณีเหล่านี้อาจทำให้ทันตแพทย์ตัดสินใจเริ่มการรักษาเร็วกว่ากำหนด โดยอาจเริ่มรักษาตั้งแต่ระยะฟันชุดผสม คือฟันแท้บางซี่ขึ้นแล้วและฟันน้ำนมยังไม่หลุดทั้งหมด ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาที่เกิดขึ้นทวีความซับซ้อน หรือทำให้กระดูกขากรรไกรและใบหน้าเจริญเติบโตผิดไปจากปกติได้

ถาม       การจัดฟันในผู้ใหญ่ยังคงทำได้เหมือนในเด็กหรือไม่ 
ตอบ      โดยหลักการแล้ว หากผู้ป่วยยังคงมีสภาพฟัน รากฟัน เหงือกและกระดูกหุ้มรากฟันที่ดี รวมทั้งไม่มีโรคที่เป็นข้อห้ามต่อการจัดฟัน ก็สามารถจัดฟันได้ อย่างไรก็ตาม การตอบสนองต่อการรักษาในผู้ใหญ่อาจมีมากกว่าในเด็ก เช่น มีจำนวนฟันที่เหลืออยู่น้อย การมีฟันผุหรือโรคปริทันต์ ทำให้ฟันบางซี่อยู่ในสภาพ ไม่สมบูรณ์ มีการรักษาในระยะที่ร่างกายเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว ผิดกับในเด็กที่เราสามารถอาศัยการเจริญเติบโตของใบหน้าขากรรไกรที่ยังมีเหลืออยู่มาก มาช่วยให้การรักษาง่ายและได้ผลดีขึ้นได้สิ่งต่าง ๆเหล่านี้ทำให้วัตถุประสงค์ของการรักษา การวางแผนการรักษาตลอดจนระยะเวลาที่ใช้รักษาในผู้ใหญ่อาจต่างจากในผู้ป่วยเด็ก และในบางกรณีอาจต้องมีการรักษาร่วมกับการผ่าตัด เช่น ในรายที่ความผิดปกติของการสบฟันนั้น เกิดจากความผิดปกติของกระดูกขากรรไกรเป็นต้น

ถาม       ภาวะที่เกี่ยวกับหลังจากรักษาจะเป็นอย่างไรบ้าง 
ตอบ     ภาวะหลังจากการจัดฟัน อาจแบ่งได้เป็น 2 ระยะ
1.  ระยะแรกของการถอดเครื่องมือจัดฟัน
ในระยะนี้ฟันจะอยู่ในตำแหน่งที่ดี และสวยงาม แต่สภาพความแข็งแรงของฟันจะยังไม่เป็นปกติเนื่องจากระดูกและเนื้อเยื่อที่หุ้มรากฟันยังซ่อมแซมตัวเองได้ไม่เต็มที่ ฟันจึงโยกและเปลี่ยนตำแหน่งได้ง่ายอีกทั้งสิ่งแวดล้อมของฟันที่เคยมีอยู่เดิม เช่น ลิ้น ริมฝีปาก กระพุ้งแก้ม และแม้แต่ลักษณะของการบดเคี้ยวยังไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับตำแหน่งใหม่ของฟันได้ จึงจำเป็นต้องมีเครื่องมือที่ใช้สำหรับควบคุมตำแหน่งของฟันให้อยู่ในที่ ๆ ต้องการที่เรียกว่า “Retainer” หรือเครื่องมือคงสภาพฟัน ซึ่งอาจเป็นชนิดติดแน่น หรือชนิดถอดได้ แล้วแต่ดุลยพินิจของทันตแพทย์จัดฟัน
เนื่องจากความสำคัญของระยะนี้ คือ ฟันจะเคลื่อนที่ไปจากตำแหน่งที่จัดไว้ได้เร็วมาก ดังนั้นเมื่อถอดเครื่องมือจัดฟันออกแล้วต้องกลับมาใส่เครื่องมือคงสภาพฟัน ภายในระยะเวลาที่กำหนด และปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
ช่วงเวลาของการใส่เครื่องมือคงสภาพฟัน อาจแต่งต่างกันได้ขึ้นอยู่กับสิ่งต่าง ๆ เช่น สภาพความผิดปกติของฟันก่อนจัด สภาพความแข็งแรงของฟัน เหงือก และกระดูกหุ้มฟัน เป็นต้น โดยเฉลี่ยจะประมาณ 2 เท่าของระยะเวลาที่ใช้ในการจัดฟัน เช่น ถ้าใช้เวลาในการจัดฟัน 2 ปี ก็ควรใส่เครื่องมือคงสภาพฟันไว้ประมาณ 4 ปี โดยในช่วงแรกของการใส่เครื่องมือ คงสภาพฟันต้องพยายามใส่ตลอดเวลา และค่อย ๆ ลดจำนวนชั่วโมงของการใส่ในแต่ละวันลงในช่วงหลัง เมื่อตรวจพบว่าฟันมีความแข็งแรงมากขึ้น
2. ระยะหลังจากการถอดเครื่องมือคงสภาพฟัน
ระยะนี้ฟันส่วนใหญ่ควรอยู่ในตำแหน่งที่ดี และสวยงามเหมือนหรือใกล้เคียงกับฟันที่เพิ่งถอดเครื่องมือจัดฟันออก โดยมีสภาพความแข็งแรงของฟัน-กระดูก และเนื้อเยื่อที่หุ้มรอบฟันเป็นปกติ ทำให้ฟันสามารถทำงานได้ดี แต่เนื่องจากแรงที่ลงบนตัวฟันเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาและในทิศทางต่างๆ กัน เช่น แรงจากการบดเคี้ยว กัด ฉีกอาหาร หรือแรงดันจากกล้ามเนื้อของลิ้น แก้มและริมฝีปาก หรือ แรงดันจากการขึ้นของฟันและแม้แต่การเจริญเติบโตหรือการเสื่อมของร่างกายจะมีผลให้เกิดการขยับตัวของฟันไปจากตำแหน่งเดิมได้ทีละน้อย ลักษณะความผิดปกติที่พบบ่อยได้แก่การมีฟันหน้าล่างซ้อนเก หรือมีฟันหน้าบนบางซี่บิดตัว หรือยื่น หรือแยกห่างจากกัน
ความผิดปกติที่เกิดขึ้นในระยะหลังนี้ มักพบได้ภายหลังจากการเลิกใช้เครื่องมือคงสภาพฟัน ตั้งแต่ 3-5 ปีขึ้นไป ซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการดังกล่าวมาแล้วในกรณีที่ความผิดปกติเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย ควรปรึกษาทันตแพทย์หรือลองสังเกตการณ์เปลี่ยนแปลงไปก่อน เพราะส่วนใหญ่ความผิดปกติอาจเพิ่มขึ้นได้ช้ามาก หรือไม่เพิ่มอีกต่อไป แต่ถ้าต้องการแก้ไขก็ต้องกลับมาใส่เครื่องมือจัดฟันอีกระยะหนึ่ง ซึ่งมักไม่ซับซ้อนเท่ากับการจัดฟันในระยะแรก

ถาม     ปัญหาที่มักพบบ่อยในระหว่างจัดฟัน คืออะไร 
ตอบ      สิ่งที่พบว่าเป็นปัญหาบ่อยที่สุดคือ เรื่องของความร่วมมือของผู้ป่วย เพราะการจัดฟันเป็นการรักษาที่แตกต่างจากการรักษาทันตกรรมชนิดอื่น ๆ ที่ผู้ป่วยเพียงแต่ไปพบทันตแพทย์แล้วปล่อยให้คุณหมออุดฟันขูดหินปูน หรือถอนฟันให้ที่คลินิกในขณะที่การจัดฟันเป็นการรักษาที่กินเวลานาน และไม่ได้จบสิ้นเพียงแค่ระยะเวลาที่ผู้ป่วยอยู่ที่คลินิก เมื่อทันตแพทย์ใส่เครื่องมือจัดฟันให้ผู้ป่วยแล้ว ผู้ป่วยยังคงต้องมาตรวจและปรับเครื่องมือเป็นระยะ ๆ อย่างสม่ำเสมอนานถึง 2-3 ปี เครื่องมือบางชนิด เช่น เครื่องมือจัดฟันชนิดถอดได้ เครื่องมือนอกปากหรือเฮดเกียร์ ยางวงเล็ก ๆ ที่ผู้ป่วยต้องเกี่ยวไว้กับเครื่องมือชนิดติดแน่น เป็นต้น เหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องมือที่ผู้ป่วยถอดออกแล้วใส่เองได้ โดยขณะที่ถอดเครื่องมือออกจะทำให้ไม่มีแรงกระทำลงบนฟันเพื่อให้ฟันเคลื่อนที่ หากผู้ป่วยถอดเครื่องมือออกบ่อย ๆ หรือใส่เป็นระยะเวลาน้อยกว่าที่กำหนด ก็จะส่งผลให้การรักษาไม่บรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้องการ นอกจากนี้ การที่ผู้ป่วยไม่มาพบทันตแพทย์ตามนัดบ่อย ๆ ก็จะทำให้ระยะเวลาที่ผู้ป่วยต้องใส่เครื่องมือจัดฟันนานขึ้น บางครั้งฟันอาจเคลื่อนไปในตำแหน่งที่ไม่ต้องการได้ ความร่วมมือของผู้ป่วยยังรวมถึงการปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของทันตแพทย์ อย่างเคร่งครัด ไม่ว่าจะเป็นการดูแลฟันให้สะอาด การหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหรือพฤติกรรมบางอย่างที่อาจทำให้เครื่องมือชำรุดหรือหลุดออกจากฟัน เป็นต้น จะเห็นได้ว่าความสำเร็จของการจัดฟันขึ้นกับผู้ป่วยเป็นอย่างมาก แม้กระทั่งเมื่อจัดฟันให้อยู่ในตำแหน่งที่ต้องการและถอดเครื่องมือที่ใช้เคลื่อนฟันออกแล้วก็ตาม ผู้ป่วยก็ยังต้องร่วมมือในการใส่รีเทนเนอร์หรือเครื่องมือรักษาตำแหน่งฟันไว้ไม่ให้คืนกลับอีกด้วย มิฉะนั้นฟันที่จัดไว้จนดีแล้วก็อาจกลับซ้อนเก ห่าง หรือยื่นได้อีก

ถาม     ราคาที่รักษาทางทันตกรรมจัดฟันประมาณเท่าไร 
ตอบ      ค่ารักษาทางทันคกรรมจัดฟันอาจแตกต่างกันได้ขึ้นอยู่กับ
1. ชนิดของเครื่องมือ เครื่องมือแต่ละชนิดอาจมีความสามารถในการเคลื่อนฟันต่างกัน หรือสร้างจากวัสดุที่ต่างกัน และในบางครั้งผู้ป่วยคนหนึ่งอาจต้องใช้เครื่องมือมากชนิดกว่าผู้ป่วยอีกคนหนึ่ง เช่น จำเป็นต้องมีเครื่องมือที่ใส่ภายนอกปากเพิ่มเติมด้วย ก็จะทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น
2. ลักษณะความผิดปกติของผู้ป่วยมีผลต่อขั้นตอนวิธีการ และระยะเวลาในการรักษา ตามปกติผู้ป่วยที่สามารถแก้ไขได้ง่ายและรวดเร็วจะมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าในรายที่ยุ่งยาก
3. สถานที่ที่ให้บริการ ตามปกติการจัดฟันตามสถานที่ราชการจะมีราคาน้อยกว่าเอกชน โดยเฉพาะถ้าการรักษาทำในเวลาราชการตัวอย่างเช่น ที่คณะทันตแพทย์ศาสตร์ จุฬาฯ ภาควิชาทันตกรรมจัดฟันจะคิดค่ารักษาผู้ป่วยที่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือชนิดติดแน่นในราคาประมาณรายละ 25,000 บาท หรือเครื่องมือถอดได้ในราคาประมาณรายละ 15,000 บาท แต่ทั้งนี้มีข้อจำกัดอยู่ว่าผู้ป่วยจะต้องยินยอมให้มีการศึกษาและปฏิบัติการโดยนิสิตทันตแพทย์ที่ขึ้นมาฝึกงานด้วย ราคานี้ไม่รวมถึงเครื่องมือพิเศษอื่น ๆ และการปฏิบัติการโดยนิสิตทันตแพทย์ที่ขึ้นมาฝึกงานด้วย ราคานี้ไม่รวมถึงเครื่องมือพิเศษอื่น ๆ และการปฏิบัติงานที่อาจต้องมีขึ้น เช่น ค่าเอกซ์เรย์ หรือค่าอุดฟัน ถอนฟัน เป็นต้น ส่วนค่าจัดฟันของคลินิกนอกเวลาราชการของคณะทันตแพทย์ศาสตร์ จุฬาฯ จะอยู่ที่ราคาประมาณรายละ 35,000-40,000 บาท

ถาม     การจ่ายเงินสำหรับค่าจัดฟันต้องจ่ายอย่างไร 
ตอบ     ผู้ป่วยที่มาปรึกษาทางทันตกรรมจัดฟันครั้งแรกจะต้องจ่ายค่าพิมพ์ปาก ถ่ายรูป และค่าเอกซเรย์ เพื่อวิเคราะห์ถึงความผิดปกติและวางแผนการบำบัดรักษาซึ่งไม่นับรวมกับค่าจัดฟัน เมื่อทันตแพทย์ได้อธิบายถึงความผิดปกติและวิธีการรักษาจนเป็นที่ตกลงกันแล้ว ทันตแพทย์หรือแผนกการเงินจะแจ้งให้ผู้ป่วยทราบถึงราคาค่าจัดฟันทั้งหมด พร้อมทั้งวิธีการจ่ายเงินซึ่งตามปกติมักให้ผู้ป่วยแบ่งจ่ายเป็นงวด โดย 2-3 งวดแรกจะมีราคาค่อนข้างสูงกว่างวดอื่น ๆ เนื่องจากเป็นระยะของการใส่เครื่องมือจัดฟัน

 

จัดฟัน|ดัดฟัน|จัดฟันแบบใส|การจัดฟัน|ทันตกรรมจัดฟัน|ฟันปลอม|รักษารากฟัน|เหงือกอักเสบ|จัดฟันแบบถอดได้|โรคเหงือก|เหงือกบวม|เหงือกร่น|อุดฟัน|ฟอกสีฟัน|ผ่าฟันคุด|ขูดหินปูน

url=http://www.sktdental.com/knowledge_question17_thai.html

 

 

 

         

 

 

ขั้นตอนการเสริมหน้าอก

ขั้นตอนการเสริมหน้าอก

เลือกขนาดก้อนซิลิโคน ว่าจะเอาขนาดไหน

เลือกความนุ่ม ว่าจะให้มันนุ่มขนาดไหน

วัดขขนาดของนมตอนที่ยังไม่ได้เสริม

มาร์คจุดที่จะต้องผ่าตัด

มาร์คเรียบร้อย (เหมือนเตรียมตัวผ่าท้องเลยวุ๊ย)

ขึ้นเขียง เอ๊ย ขึ้นเตียง

ทาน้ำยาฆ่าเชื้อโรคให้ทั่ว

หลังจากทาน้ำยาเรียบร้อยแล้ว

เตรียมตัวเชือด

ค่อยๆเลาะตามเส้นที่ Mark ไว้

ใช้ตัวถ่าง ค่อยๆ ถ่างออก (เป็นรูเลย -_-”)

เช็คขนาดรูให้พอดี

มาแล้ว พระเอกของเรื่อง ก้อนซิลิโคนอย่างดี

จับมันยัดเข้าไป (ยัดๆๆๆๆ)

หลังจากที่พระเอกเราเข้าไปสิงสถิตย์เรียบร้อยแล้ว

เข้าสู่กระบวนการปิดรู

ก่อนอื่นต้องต่อสาย Drain ให้เรียบร้อยก่อน

เย็บให้เรียบร้อย

ทีนี้ ก็เริ่มทำอีกข้าง

หลังจากยัดพระเอกเราเข้าไปแล้ว

เตรียมตัวเย็บให้ติดกัน

เย็บแบบไม่มีรอย

ใช้เทปปิดแผลปิดให้เรียบร้อย

เอาสำลีแปะให้เรียบร้อย

เช็คความเรียบร้อยครั้งสุดท้าย

url=http://silance-mobius.blogspot.com/2008/07/blog-post_27.html

การเสริมจมูก

ก่อนและหลังเสริมจมูกและตกแต่งปลายจมูกจมูกเป็นอวัยวะที่อยู่ตรงกลางของใบหน้า จึงมีความโดดเด่นพอสมควร ถ้าจมูกสวยก็จะช่วยให้หน้าดูสวยงามขึ้น แต่จมูกที่ดูสวยนั้น ควรจะมีความสวยงามที่ได้สัดส่วนในตัวของมันเองรวมถึงใบหน้าและรูปร่างของคนๆนั้น เช่นจุดเริ่มต้นของสันจมูกควรสูงได้ระดับ ไม่ต่ำจนเกินไปหรือดูสูงจนเป็นโหนกซึ่งผิดธรรมชาติ สันจมูกหรือดั้งจมูกควรจะมีความเรียบเนียนไม่ดูหักหรือคด ส่วนรูปร่างของสันจมูกจะดูตรง,โค้งหรือแอ่นนั้นขึ้นกันลักษณะโครงหน้าของคนไข้เป็นหลัก ปลายจมูกก็ควรมีความกลมกลึงไม่ดูใหญ่หรึอเล็กเกินไปไม่มีดูทู่ๆหรือแหลมมากไป ปีกจมูกโค้งสวยรับกับปลายจมูกไม่กว้างหรือใหญ่จนดูขัดตา จริงๆแล้วความสวยงามและความได้สัดส่วนระหว่างปีกจมูกกับปลายจมูกนั้นมีความสำคัญมากโดยเฉพาะในคนไทยซึ่งปีกจมูกมักจะบานส่วนฝรั่งปีกจมูกเล็กอยู่แล้ว
รูปภาพเหล่านี้เป็นผลงานของนพ.ต่อพงศ์ ได้รับอนุญาตจากเจ้าของรูปแล้วครับ

จมูกที่สวยงามของคนแต่ละเชื้อชาติจะไม่เหมือนกันนักเพราะความแตกต่างของโครงสร้างใบหน้าและร่างกายที่ต่างกัน
ทัศนคติและความรู้สึกของคนไข้เองก็มีความสำคัญมาก บางคนอาจจะชอบแบบหนึ่งใน ขณะที่บางคนอาจชอบอีกอย่าง
จะเห็นได้ว่าการเสริมจมูกนั้นมีความเกี่ยวข้องกับความรู้สึกด้วยเช่นกัน ดังนั้นผู้ที่จะทำการเสริมจมูกควรมีเวลาพูดคุย แลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็น กับแพทย์ผู้ทำการผ่าตัดอย่างละเอียดถึงความต้องการของตนถึงเรื่อง วัสดุที่ใช้ เทคนิควิธีการผ่าตัดเสริมจมูก การดูแลตนเอง ก่อนและหลังผ่าตัด ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น ความคงทน และการเปลี่ยนแปลงภายหลังที่อาจเกิดขึ้นและการแก้ไขถ้ามีปัญหาเกิดขึ้น เพราะแพทย์แต่ละคนถึงเสริมจมูกเหมือนกัน ผลอาจจะต่างกัน เพราะต่างกันในแนวคิด รายละเอียดเหล่านี้ เพื่อผลการทำผ่าตัดที่ดีและความพึงพอใจทั้งคนไข้และแพทย์
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการเสริมจมูก
-ควรจะเสริมจมูกหรือเสริมดั้งให้โด่งแค่ไหน ใหญ่แค่ไหน
การจะเสริมจมูกหรือเสริมดั้งให้สวยนั้น ควรจะทำให้สวยเหมาะกับหน้าคนๆนั้นเป็นสำคัญ ซึ่งควรจะได้รับการประเมินร่วมกันทั้งจากแพทย์และตัวคนไข้เอง บางคนอาจจะเสริมมากหน่อย ขณะที่บางคนอาจจะเสริมซักเล็กน้อยก็พอ บางรายไม่จำเป็นต้องเสริมจมูกแต่อาจจะต้องแก้ไขบางจุด เช่น ความไม่เท่ากัน ปีกจมูกบาน ปลายจมูกไม่สวย เป็นต้น
-วัสดุที่ใช้เสริมจมูก
อาจจะไม่เหมือนกันในแต่ราย แต่ส่วนใหญ่ที่นิยมมากที่สุดคือ ซิลิโคนแท่ง เนื่องจากสามารถควบคุมรูปร่างได้ดี ไม่ต้องมีแผลที่อื่นเพิ่ม ไม่มีการยุบสลายหรือถูกดูดซึมไป ซึ่งซิลิโคนก็มีหลายชนิด หลายคุณภาพควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ วัสดุอื่นเช่นกระดูกอ่อน,พังผืด,ไขมัน ที่เป็นของคนไข้เองก็สามารถนำมาใช้ได้ซึ่งก็มีข้อดีคือ มีความเป็นธรรมชาติ ไม่มีปัญหาเรื่องการแพ้
-ข้อแตกต่างระหว่างการใช้ซิลิโคนสำเร็จรูปกับการใช้ซิลิโคนที่เหลาเอง
ซิลิโคนสำเร็จรูปคือซิลิโคนที่ถูกขึ้นรูปเป็นรูปร่างที่พร้อมจะใส่มาจากโรงงาน มีขนาดความกว้างและยาวที่แตกต่างกันบ้างแพทย์จะปรับแต่งอีกเล็กน้อยเพื่อให้เหมาะสมกับคนไข้แต่ละราย ส่วนการใช้ซิลิโคนที่เหลาเองแพทย์จะเหลาซิลิโคนเองตั้งแต่ยังเป็นบล็อกสี่เหลี่ยมให้เหมาะกับรูปจมูกของคนไข้คนนั้น โดยส่วนตัวผู้เขียนไม่นิยมใช้ซิลิโคนสำเร็จรูปเลย เพราะถึงจะมีขนาดให้เลือก แต่ก็มีไม่กี่ขนาด และสามารถปรับแต่งได้บางจุดเท่านั้น ถ้าปรับบางส่วนไปจะทำให้รูปร่างเสียสมดุล คล้ายกับกางเกงยีนที่ยาวเกินไปการตัดปลายขาให้พอดีกับข้อเท้า ตำแหน่งหัวเข่า เป้า ต้นขาก็ไม่พอดีอยู่ดีและผู้เขียนแทบจะไม่เห็นใครที่รูปจมูกเหมือนกันหรือควรจะเหมือนกันเลย ซิลิโคนที่เหลาเองถึงแม้จะเสียเวลา แต่สามารถปรับทุกจุดให้เหมาะกับคนๆนั้นได้ แต่มีข้อเสียคือถ้าเหลาไม่ดีก็ไม่สวยเหมือนกัน
-การเสริมจมูกแบบใช้ซิลิโคนกับแบบใช้ไขมันตัวเองแบบไหนดีกว่ากัน
เปรียบเทียบกันยากเพราะมีข้อดีข้อเสียต่างกัน การใช้ซิลิโคนแท่ง มีข้อดีคือ ควบคุมรูปร่างทรงจมูกได้ดี ว่าต้องการโด่งมากน้อยแค่ไหน บริเวนปลายจมูกเป็นอย่างไร แต่มีข้อด้อยคือ ถ้าทำออกมาไม่ดี อาจดูไม่เป็นธรรมชาตินัก อาจมีปัญหาเรื่องผิวหนังบางดูใสๆ โดยเฉพาะตรงปลาย ทำให้เสี่ยงต่อการทะลุได้ ซึ่งอาจจะเกิดหลังทำจมูกตั้งแต่ช่วงแรกจนถึงนานหลายปี
ส่วนการใช้ไขมันตนเองมีข้อดีคือ มักจะดูเป็นธรรมชาติ ไม่มีปัญหาเรื่องทะลุ แต่ข้อด้อยคือ ไขมันที่ใส่จะถูกดูดซึมไปบางส่วน โดยเฉพาะตรงปลายจมูก ส่วนจะเหลือแค่ไหนขึ้นกับปัจจัยอื่นๆหลายอย่าง แต่ก็เหมาะกับคนที่ไม่ต้องการใส่ซิลิโคนเข้าไป
-ซิลิโคนที่ใช้เสริมจมูกมีกี่ประเภท
ไม่ได้มีการจัดแบ่งประเภทแบบนั้น แต่ขึ้นอยู่กับความบริสุทธิ์ กรรมวิธีการผลิตให้มีความแข็งความนิ่มต่างกัน
-การเสริมจมูกโดยการฉีด
ไม่แนะนำเนื่องจากปัจจุบันยังมีวิธีการอื่นในการเสริมจมูกที่ดีเช่น ซิลิโคนคุณภาพสูง กระดูกอ่อน เนื้อเยื่อไขมันของตัวคนไข้เอง ส่วนสารที่นำมาฉีดนั้นอาจจะอยู่ในกลุ่มที่เป็นองค์ประกอบของผิวหนัง เช่น กลุ่มhyalulonic acid,collagen ซึ่งสารพวกนี้จะถูกดูดซึมจนหมดในระยะเวลาหนึ่ง เฉลี่ยประมาณ 6เดือน และไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีการแพ้เกิดขึ้นซึ่งจะแก้ไขลำบาก จริงๆแล้วสารเหล่านี้ก็ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อนำมาใช้เสริมจมูก
-ระยะเวลาในการเสริมจมูกแต่ละครั้ง
แตกต่างกันขึ้นกับวิธีการ เทคนิคของแพทย์แต่ละท่านและตัวคนไข้เองว่าต้องแก้ไขจุดไหน มากน้อยแค่ไหน แต่โดยทั่วไปจะไม่นานนัก ประมาณ 1-2 ชัวโมง
-ตำแหน่งแผลผ่าตัด
ส่วนใหญ่เป็นแผลในรูจมูกมองไม่เห็นจากภายนอก แต่ในบางกรณีเช่น จมูกสั้นหรือต้องแต่งปลายจมูก อาจมีแผลที่ติ่งจมูกซึ่งก็เป็นจุดซ่อนแผลและแผลเป็นหายได้ดี
-ความเจ็บปวดและการบวมช้ำ
จะเจ็บซักเฉพาะตอนฉีดยาชาบริเวณจมูกประมาณ1-2นาที เพื่อที่คนไข้จะได้ไม่รู้สึกเจ็บขณะผ่าตัดและมักจะมีการบวมช้ำตามปกติไม่มากนักโดยเป็นมากที่สุดใน1-2วันแรกหลังผ่าตัดหลังจากนั้นจะค่อยๆยุบจนหมดภายใน2-3สัปดาห์ ถ้าคนไข้สามารถประคบรอบจมูกตามคำแนะนำของแพทย์ก็จะช่วยลดบวมได้ดีขึ้น
-ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้
ปัญหาที่อันตรายส่วนใหญ่เกิดจากการแพ้ยาชาแต่พบได้น้อยมาก ส่วนปัญหาอื่นๆเช่นการทะลุ การเอียง การติดเชื้อ ก็อาจจะเกิดขึ้นได้แต่ก็พบน้อย อย่างไรก็ดีถ้า มีการประเมินที่ก่อนผ่าตัดที่ดี เลือกใช้วัสดุที่มีความเหมาะสม ผ่าตัดในสถานที่สะอาดใช้เทคนิคปลอดเชื้อ ทำโดยแพทย์ที่มีความรู้ความชำนาญมีเทคนิคการผ่าตัดที่ถูกต้อง มีการติดตามการรักษาและสามารถแก้ปัญหาเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นก็ถือว่าเป็นการผ่าตัดที่ปลอดภัยสูง
-เสริมจมูกแล้วต้องทำใหม่อีกครั้งหรือไม่ เมื่อไร
จุดประสงค์ของการเสริมจมูกคือทำแล้วสวยขึ้นได้ผลดี อยู่กับคนไข้ไปตลอดชีวิต
-ข้อควรระวังเมื่อเสริมจมูกไปแล้วมีอะไรบ้าง
ในช่วงแรกหลังทำประมาณ 3 สัปดาห์ ควรระวังเรื่องการกระทบกระแทก หลังจากนั้นดูแลเหมือนปกติ
-เมื่อมีอายุมากจมูกที่เสริมไปจะมีโอกาสเปลี่ยนแปลงหรือไม่
จมูกเป็นอวัยวะที่เปลี่ยนเปลงน้อยถ้าเทียบกับอวัยวะส่วนอื่นบนใบหน้า เช่น คิ้ว หนังตา ผิวหนังใบหน้า เนื่องจากผิวหนังที่จมูกยึดแน่นกับตัวโครงจมูก ถ้าเสริมจมูกให้มีความพอดีแต่เรกมักจะไม่มีปัญหาอะไร ยกเว้นโด่งไปตึงไปแต่แรกนานไปจะเห็นผิวหนังบางขึ้น มีโอกาสทะลุได้
ภาพก่อนเสริมจมูกและหลังเสริมจมูก 3 สัปดาห์

ก่อนและหลังแก้ไขจมูกที่จะทะลุ

เสริมจมูกที่หมอต่อพงศ์คลินิครับประกันให้ 5 ปีครับ หากซิลิโคนมีปัญหาทะลุสำหรับซิลิโคนคุณภาพสูง

นายแพทย์ต่อพงศ์ พลจันทร์ วุฒิบัตรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมตกแต่งใบหน้า
เสริมจมูก ให้สวยขึ้นรับกับใบหน้าและดูเป็นธรรมชาติ ด้วยเทคนิคที่ดี ใช้ซิลิโคนคุณภาพสูง ปลอดภัย

url=http://www.drtorpong.com/2012/index.php/rhinoplasty?gclid=CP_kktfPoLUCFQob6wod6XAAfw

การเเปลงเพศ

 

ศัลยกรรม

 

การผ่าตัดแปลงเพศ (สมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย)

ผู้ป่วยที่มีความผิดปกติทางจิตใจในลักษณะที่เกิดความขัดแย้งของการรับรู้เพศ และสภาพร่างกายไม่สอดคล้องกันมีคำเรียกทางการแพทย์ว่า gender dysphoria หรือ gender identity disorder ถือว่าเป็นความผิดปกติอย่างหนึ่งที่พบได้ค่อนข้างบ่อยในสังคม  ในอดีตนั้นผู้ป่วยกลุ่มนี้ไม่สามารถที่จะรักษาตนเองได้เนื่องจากไม่กล้าที่ จะไปพบแพทย์และรวมทั้งแพทย์เองก็ไม่ค่อยมีความรู้ความเข้าใจผู้ป่วยกลุ่มนี้ อย่างดีพอ จึงทำให้การรักษาได้ผลที่ไม่ค่อยน่าพอใจ จนเป็นข่าวอยู่บ่อย ๆ

ในอดีตว่ามีผู้ป่วยบางคน ใช้มีดตัดอวัยวะเพศของตนเองให้ขาดออก เนื่องจากรังเกียจ หรือบางคนก็อยู่อย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ และบางคนก็กลายเป็นที่รังเกียจของคนที่อยู่รอบข้างทั้งพ่อแม่ เพื่อนร่วมงานที่ไม่เข้าใจ แต่หลังจากมีการศึกษาอย่างจริงจังและมีความเข้าใจถึงสาเหตุรวมทั้งลักษณะ ความผิดปกติของผู้ป่วยกลุ่มนี้อย่างลึกซึ้งแล้วพบว่าส่วนหนึ่งเกิดจากจากการ เลี้ยงดูที่ไม่สมบูรณ์ตั้งแต่เด็กในช่วงอายุ 3-5 ปี  และการพัฒนาการรักษาผู้ป่วยกลุ่มนี้ในปัจจุบันค่อนข้างได้ผลที่ดีพอสมควร และทำให้ผู้ป่วยสามารถมีชีวิตในสังคมอย่างเป็นสุขมากขึ้นและเป็นคนที่มี ประโยชน์ต่อสังคมได้

ในปัจจุบันนี้เกือบจะเป็นที่ยอมรับกันแล้วว่า ถ้าหากจะให้การรักษาเป็นไปอย่างถูกต้องครบถ้วนเป็นมาตรฐานที่สุด แล้วควรที่จะให้ผู้ป่วยสามารถรับการรักษาในสถานที่แห่งเดียว ทั้งนี้เนื่องจากว่าผู้ป่วยเหล่านี้ต้องการการรักษา ที่เป็นขั้นตอน และมีรายละเอียดที่สลับซับซ้อนมากกว่าที่เราเคยรู้กันในอดีต ทั้งนี้ก่อนอื่นมีความจำเป็นต้องวินิจฉัยให้ได้ก่อนว่าผู้ป่วยที่มารักษา นั้นเป็นผู้ป่วยกลุ่มนี้หรือไม่ และการผ่าตัดจะสามารถทำได้หรือไม่นั้น จะมีขั้นตอนพิจารณาดังนี้

1.  ผู้ป่วยต้องใช้ชีวิตอยู่ในสังคม ในเพศที่ตรงข้ามกับร่างกายตลอดเวลา และประสบความสำเร็จในการใช้ชีวิตเป็นเวลาอย่างน้อย  12 เดือน

2.  ผู้ป่วยต้องได้รับการตรวจและประเมินพฤติกรรม โดยจิตแพทย์อย่างน้อย   2 คน   และหนึ่งในสองคนต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้โดยเฉพา

3.  ต้องได้รับการรักษาด้วยฮอร์โมน เพื่อเตรียมสภาพร่างกายให้อยู่ในเพศตรงข้ามเสียก่อน

4.  ก่อนจะผ่าตัดแปลงเพศ ต้องผ่าตัดส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสร้างอวัยวะเพศเสียก่อน

ดังนั้นเมื่อพิจารณาถึง ทีมงานที่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยเหล่านี้แล้ว จะพบว่า ทีมแพทย์ที่เหมาะสมจะต้องประกอบด้วยจิตแพทย์, นักจิตวิทยา, แพทย์ทางระบบต่อมไร้ท่อ หรือแพทย์ที่ดูแลเรื่องการใช้ฮอร์โมน, แพทย์ทางสูตินรีเวช, แพทย์ศัลยกรรมตกแต่งเป็นอย่างน้อย  ทั้งนี้เพื่อทำให้การรักษาได้ผลอย่างสมบูรณ์ ทั้งนี้เนื่องจากการผ่าตัดเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการรักษาผู้ป่วยกลุ่มนี้ เท่านั้น  ผู้ป่วยยังต้องได้รับ Hormone เพื่อรักษาสภาพภายในที่จะคงสภาพของเพศตรงข้ามอย่างถาวรตลอดไป รวมทั้งสภาพจิตใจของผู้ป่วยหลังการผ่าตัดนั้นก็เป็นสิ่งที่จะต้องได้รับคำ ปรึกษาหากมีปัญหาเกิดในระยะยาว

ปัจจุบันนี้ความก้าวหน้าด้านการผ่าตัดมีมากแต่ความรู้ความเข้าใจในด้านการ รักษาด้วยฮอร์โมนสำหรับผู้ป่วยกลุ่มนี้ยังมีน้อย จึงยังไม่สามารถสรุปได้ว่ายาฮอร์โมนกลุ่มใดที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยที่ต้อง การเปลี่ยนไปในเพศตรงข้าม และผลในระยะยาวต่อผู้ป่วยกลุ่มนี้จะเป็นอย่างไรมีอันตรายมากน้อยเพียงใดยัง ไม่สามารถที่จะสรุปได้แน่นอน จึงต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องจากแพทย์จึงจะปลอดภัยที่สุด

หลังจากเกริ่นมาแล้วถึงกระบวนการเลือกผู้ป่วยมาแล้วขอกล่าวถึงการผ่าตัดแปลง เพศจากชายเป็นหญิง (ซึ่งพบผู้ป่วยกลุ่มนี้มากกว่า) เพื่อความเข้าใจโดยคร่าว ๆ ดังต่อไปนี้

เป้าหมายในการสร้างอวัยวะเพศหญิงใหม่ นั้น มีดังนี้คือ สร้างช่องคลอดเทียมที่มีขนาดลึกพอสมควรเพื่อรองรับการใช้งานในลักษณะของเพศ หญิง และการร่วมเพศได้, สร้างรูปร่างของอวัยวะเพศใหม่ให้ดูคล้ายกับอวัยวะเพศหญิงให้มากที่สุด ทั้งนี้ได้แก่แคมนอกและแคมใน, เปลี่ยนแนวทางของท่อปัสสาวะให้อยู่ในแนวที่ถูกต้อง เนื่องจากในผู้ชายจะปัสสาวะพุ่งไปด้านหน้า ส่วนในผู้หญิงจะมีทิศทางพุ่งลงล่าง, สร้างจุดรับสัมผัสหรือปุ่มคลิตอริส (หากทำได้เพื่อทำให้มีจุดรับสัมผัสที่ใกล้เคียงกับของผู้หญิงที่สุด)

การเตรียมตัวเบื้องต้น ในการผ่าตัดแปลงเพศและรายละเอียดในการผ่าตัด พอสรุปเป็นขั้นตอนได้ดังต่อไปนี้

1. ผู้ป่วยต้องได้รับการตรวจร่างกาย เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีโรคอันตรายหรือเสี่ยง ต่อการผ่าตัดทั้งนี้เนื่องจากการผ่าตัดทำได้โดยการดมยาสลบร่วมด้วยเท่านั้น ผู้ป่วยต้องมีสุขภาพแข็งแรงพอสมควร โดยมากมักจะต้องตรวจเลือดตรวจโรคที่มากับเลือดโดยเฉพาะการตรวจเชื้อไวรัส เอดส์ตับอักเสบเป็นต้นหลังจากนั้นสิ่งสำคัญที่ต้องตรวจคือลักษณะของอวัยวะเพศ ว่ามีขนาดเพียงพอจะใช้สำหรับการสร้างช่องคลอดใหม่หรือไม่

หากมีขนาดสั้นเกินไปหรือเคยขลิบหนังอวัยวะเพศส่วนปลายมาแล้วก็มีผลทำให้การ ผ่าตัดได้ช่องคลอดที่ตื้นเกินไปได้ทำให้อาจจะต้องมีการผ่าตัดเพิ่มความยาว โดยการใช้ผิวหนังมาปลูกช่วยหรือเลือกใช้ลำไส้ใหญ่มาช่วยทำช่องคลอดให้ได้ ความลึกที่เพียงพอ หากไม่มีข้อจำกัดเรื่องนี้แล้วการสร้างช่องคลอดจะใช้ผิวหนังรอบอวัยวะเพศ เดิมในการสร้างผนังช่องคลอด

2. หลังจากดมยาสลบแล้วแพทย์จะเจาะช่อง เพื่อเป็นช่องคลอดใหม่ผ่านตรงตำแหน่งที่ เป็นช่องคลอดในสตรีให้ได้ความลึกเพียงพอด้วยความระมัดระวังไม่ให้กระทบ กระเทือนต่ออวัยวะส่วนอื่น ๆ

 3. จัดการตัดส่วนต่าง ๆ ให้ได้ลักษณะที่เหมาะสม ได้แก่ ท่อปัสสาวะให้พุ่งลงล่าง, ตัดปลายอวัยวะเพศชายเลาะส่วนหนึ่งเก็บไว้พร้อมเส้นเลือดและเส้นประสาทเพื่อ สร้างจุดคลิตอริสใหม่, ตัดลูกอัณฑะออกพร้อมท่อส่งน้ำเชื้อให้เหลือสั้นที่สุด, ตัดแต่งผิวหนังส่วนเกินสร้างอวัยวะเพศส่วนนอกให้ได้รูปร่างที่ดูเหมือน อวัยวะเพศหญิงให้มากที่สุดเป็นอันเสร็จสิ้นการผ่าตัดหลังจากนั้นผู้ป่วยต้อง ได้รับการปิดช่องคลอดที่สร้างใหม่ด้วยผ้ายาและใส่สายสวนปัสสาวะเพื่อเป็นทาง ระบายน้ำปัสสาวะไม่ให้เลอะเทอะแผลผ่าตัด พร้อมกับมีสายระบายเลือดเพื่อป้องกันไม่ให้เลือดคั่งค้างในส่วนที่ผ่าตัด

การดูแลหลังการผ่าตัดในระยะแรกจะมีการดูแลเรื่องแผลผ่าตัดให้หายได้อย่าง ปกติไม่มีปัญหาเรื่องการติดเชื้อมักจะเป็นหน้าที่ของแพทย์ผู้ผ่าตัดและเป็น หน้าที่ของผู้ป่วยจะดูแลในระยะต่อมาหลังจากนั้นผู้ป่วยจำเป็นต้องใช้เครื่อง มือเพื่อทำการถ่างขยายช่องคลอดที่แพทย์สร้างไว้ให้คงความกว้างและความลึก อย่างน้อย 6-12 เดือน

ทั้งนี้เนื่องจากแผลเป็นที่เกิดขึ้นจะทำให้เกิดช่องคลอดตีบหรือตันได้ อันเป็นเหตุให้ผลการผ่าตัดไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร การใช้งานในการร่วมเพศสามารถใช้ได้ตามปกติเมื่อแผลหายดีและผิวหนังในช่อง คลอดหายสนิทดีแล้ว ส่วนมากใช้เวลาประมาณ 2 เดือน หลังจากนั้นผู้ป่วยมีความจำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยยาฮอร์โมนบำบัด เพื่อคงสภาพหญิงอย่างต่อเนื่องต่อไปโดยแพทย์ทางนรีเวชและนอกจากนั้นจิตแพทย์ จะเป็นผู้ให้การดูแลประเมินผลสภาพจิตหลังการผ่าตัดแปลงเพศ พร้อมทั้งแก้ไขปัญหาด้านจิตใจต่อไป

  ข้อแทรกซ้อนและผลข้างเคียง ที่สามารถเกิดขึ้นได้จากการผ่าตัดแปลงเพศนั้น สามารถเกิดขึ้นได้เช่นเดียวกับการผ่าตัดอื่น ๆ พอสรุปปัญหาและการแก้ไขได้ดังต่อไปนี้

- แผลผ่าตัดแยก หรือหายไม่สนิท

พบได้บ่อยพอสมควร ทั้งนี้เนื่องจากแผลผ่าตัดบริเวณนี้มีการเย็บต่อกันด้วยผิวหนังจากหลายส่วน ทำให้มีรอยต่อระหว่างรอยเย็บหลายแห่ง จึงเป็นไปได้ที่แต่ละตำแหน่งอาจจะมีโอกาสที่จะแยกออกจากกันได้ รวมทั้งการดูแลหลังผ่าตัดที่ไม่เหมาะสมหรือการใช้งานอวัยวะเพศใหม่เร็วเกินกำหนด จะมีโอกาสที่แผลจะเกิดปัญหาได้ แต่หากการแยกของแผลไม่กว้างมากหรือไม่หลุดออกจนหมดสามารถที่จะรักษาให้หาย สนิทได้ในที่สุด แต่บางรายแพทย์อาจจะต้องทำการเย็บแผลให้ใหม่

  – ช่องคลอดใหม่หลุด หรือลอก

เกิดในกรณีที่ช่องคลอดใหม่ยังไม่ยึดติดกับช่องที่แพทย์เจาะไว้ให้ และมีการใช้งานหรือการดูแลที่ไม่ถูกต้อง ทำให้ผิวหนังช่องคลอดปลิ้นหลุดออกกมาด้านนอก ในกรณีที่เกิดขึ้นแบบนี้ แพทย์มีความจำเป็นต้องจัดผิวหนังช่องคลอดให้ใหม่เพื่อให้ผิวบุช่องคลอดใหม่อยู่ในสภาพเดิม

- ช่องคลอดตีบ หรือปากช่องคลอดหดแคบ

เกิดได้จากการเจาะช่องคลอดให้ได้ไม่กว้างเพียงพอ อาจจะเนื่องจากโครงสร้างของเชิงกรานมีมุมแคบเกินไปที่จะทำช่องให้กว้างได้ มาก หรือเกิดจากพังผืดหดรัดบริเวณช่องคลอดใหม่ และการดูแลถ่างช่องคลอดหลังการผ่าตัดโดยผู้ป่วยเองทำได้ไม่เพียงพอ ในระหว่างที่ช่องคลอดยังไม่อยู่ตัวดี ทำให้ช่องคลอดตีบตัวลงมา และมีการคอดรัดของปากช่องคลอด

ในกรณีที่เกิดขึ้นหลังผ่าตัดไม่นาน การถ่างขยายด้วยอุปกรณ์ถ่างช่องคลอดและเพิ่มขนาดตัวถ่างจะช่วยให้มีการยืดตัวของพังผืดรอบ ๆ ได้ และช่องคลอดสามารถขยายตัวจนมีความกว้างที่เหมาะสมได้  แต่หากพังผืดติดแข็งมาก แพทย์อาจจะต้องผ่าตัดขยายช่องคลอดให้ใหม่

 - ช่องคลอดตื้น

เป็นผลตามมาที่พบได้บ่อย ทั้งนี้เนื่องจากการสร้างช่องคลอดใหม่นั้นมีความจำเป็นต้องอาศัยผิวหนัง จากอวัยวะเพศชายที่มีอยู่เดิม ซึ่งบางรายมีขนาดเล็กและยาวไม่มาก ช่องคลอดที่ได้จึงมีความตื้น และบางครั้งมีการหดตัวของช่องคลอดเนื่องจากพังผืด และเนื่องจากการถ่ายด้วยอุปกรณ์ถ่างช่องคลอดที่ไม่เพียงพอร่วมด้วยจึงทำให้ ความลึกของช่องคลอดใหม่มีไม่เพียงพอแก่การใช้งานตามปกติ หากเกิดขึ้นในระยะแรก อาจจะช่วยได้โดยการใช้อุปกรณ์ถ่างขยายช่องคลอด เพื่อเพิ่มความลึกให้มากขึ้น

แต่หากเกิดขึ้นในระยะหลังและไม่สามารถขยายด้วยอุปกรณ์แล้ว การผ่าตัดแก้ไขมีความจำเป็นอาจจะต้องใช้เนื้อเยื่ออื่น ๆ มาทดแทนเพื่อสร้างช่องคลอดใหม่ เช่นการใช้ลำไส้ใหญ่เป็นต้น

- ท่อปัสสาวะตีบ

           พบได้บ่อย เนื่องจากท่อปัสสาวะที่สร้างขึ้นใหม่ มีพังผืดล้อมรอบบริเวณรูเปิดทำให้การไหลของปัสสาวะไม่สะดวก หากเกิดขึ้นแล้วการรักษาโดยการถ่ายขยายท่อปัสสาวะด้วยเครื่องมือสามารถแก้ไข ปัญหานี้ได้ แต่ทั้งนี้เป็นการรักษาที่ต้องทำโดยแพทย์เท่านั้น ไม่สามารถทำได้ด้วยตนเอง หากเกิดอาการตีบรุนแรง จนปัสสาวะไม่ค่อยออก แพทย์อาจจะต้องทำการผ่าตัดแก้ไขท่อปัสสาวะให้กว้างขึ้นอีกครั้ง

- ช่อง คลอดทะลุเข้าในช่องท้องหรือลำไส้ใหญ่

เป็นข้อแทรกซ้อนที่ค่อนข้างจะรุนแรงและแก้ไขยาก เกิดเนื่องจากการดูแลหลังการผ่าตัดที่ไม่เหมาะสม เช่นใช้งานเร็วเกินไป การใช้อุปกรณ์ถ่างขยายที่ใหญ่หรือลึกเกินไป รวมทั้งการผ่าตัดที่เกิดการทะลุเข้าในลำไส้ใหญ่ ทำให้เกิดการติดต่อระหว่างช่องคลอดและลำไส้ใหญ่ขึ้น การรักษาจะทำได้โดยการผ่าตัดแก้ไขใหม่ โดยอาจจะเย็บซ่อมรูทะลุได้ถ้าหากรูไม่ใหญ่เกินไปแต่หากมีการทะลุรุนแรงและ เป็นรูใหญ่มาก และไม่สามารถเย็บซ่อมได้ อาจมีความจำเป็นต้องแก้ไข โดยการระบายอุจจาระออกทางหน้าท้องก่อนระยะหนึ่ง เพื่อมิให้อุจจาระมาปนเปื้อนบริเวณรูทะลุ หลังการเย็บซ่อมรูทะลุนั้น และเมื่อรูทะลุปิดดีแล้ว จึงค่อยผ่าตัดทำช่องคลอดให้ใหม่ด้วยลำไส้ใหญ่ส่วนปลายต่อไป

 - การหลุดลอกของปุ่มคลิตอริสที่แพทย์สร้างให้ใหม่

การสร้างปุ่มคลิตอริสใหม่ร่วมกับการผ่าตัดแปลงเพศนั้น เป็นการผ่าตัดที่มีโอกาสกระทบกระเทือนต่อเส้นเลือดที่มาเลี้ยงปุ่มคลิตอริ สได้ เนื่องจากเส้นเลือดและเส้นประสาทบริเวณนี้มีโอกาสถูกกดทับได้ง่าย ดังนั้นอาจทำให้ปุ่มคลิตอริสเกิดการขาดเลือดมาเลี้ยงและมีการลอกหลุดหรือบาง ครั้งตายไปได้ หากแก้ไขได้ทันท่วงที จะสามารถเก็บปุ่มคลิตอริสให้กลับคืนมาได้และใช้งานได้ตามปกติ ในกรณีที่แก้ไขไม่ได้และปุ่มคลิตอริสตายไป จะเหลือเพียงบางส่วนซึ่งอาจทำให้การใช้งานของปุ่มนี้ในการรับความรู้สึกได้ ไม่เต็มที่

 สรุป จะเห็นได้ว่า เมื่อดูโดยรวมแล้ว การผ่าตัดแปลงเพศเป็นเพียงส่วนหนึ่ง ของกระบวนการรักษา ผู้ป่วยที่มีภาวะการรับรู้เพศไม่ตรงกับสภาพร่างกาย ที่ไม่สามารถบำบัดด้วยวิธีทางจิตบำบัดแล้วเท่านั้นไม่ใช่ทั้งหมด และหากผู้ป่วยได้รับการดูแลที่ถูกต้องครบถ้วนตามขั้นตอนที่ถูกต้อง ผู้ป่วยสามารถมีชีวิต

ในสังคมได้อย่างมีความสุขและสร้างประโยชน์ต่อตนเองและ สังคมได้เช่นเดียวกับบุคคลธรรมดาทั่วไป แต่ในอีกแง่หนึ่งหากทำการรักษาโดยไม่ถูกต้องหรือไม่ถูกขั้นตอน เช่นผ่าตัดแปลงเพศเนื่องจากคำชักชวนของเพื่อน หรือเพื่อหวังผลด้านการพาณิชย์ หรือไม่มีการเตรียมผู้ป่วยทั้งการกายและใจก่อนผ่าตัดที่ดี  อาจจะส่งผลต่อผู้ป่วยกลุ่มนี้ได้ทั้งในแง่ของร่างกาย ที่ไม่สามารถแก้ไขกลับคืนมาได้ และทางด้านจิตใจที่อาจจะประสบปัญหาในการใช้ชีวิตในสังคมและคนรอบข้างได้  ในที่สุดจะส่งผลต่อการรักษาที่ล้มเหลวได้

 

เรื่องราวผู้หญิง ความสวยงาม แฟชั่น ความรัก มากมาย คลิกเลย 

คลิกอ่านความคิดเห็นของเพื่อนๆ ได้ที่นี่ค่ะ

ที่มาจาก http://women.kapook.com/view16852.html